ประเภทของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดคือประเภทใด

• หลักฐานจารึก
• หลักฐานชั้นต้น
• หลักฐานโบราณคดี
• หลักฐานชั้นรอง

หลักฐานชั้นรองไม่มีความน่าเชื่อถือเท่ากับหลักฐานชั้นต้น

หลักฐานประเภทใดที่จัดอยู่ในกลุ่มหลักฐานโบราณคดี

• กระดูกมนุษย์โบราณ
• ซากเมืองโบราณ
• โครงกระดูกสัตว์
• ทุกข้อที่กล่าวมา

ข้อใดไม่ใช่ประเภทของหลักฐานทางประวัติศาสตร์

• หลักฐานจดหมายเหตุ
• หลักฐานประวัติภาพ
• หลักฐานนิทาน
• หลักฐานจารึก

การศึกษาหลักฐานทางประวัติศาสตร์เป็นเรื่องง่ายและไม่จำเป็นต้องมีการวิเคราะห์อย่างละเอียด

ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของการศึกษาหลักฐานทางประวัติศาสตร์

• ช่วยให้เข้าใจเหตุการณ์ในอดีต
• ช่วยให้เข้าใจวิถีชีวิตของคนในอดีต
• ช่วยให้คาดเดาอนาคตได้อย่างแม่นยำ
• ช่วยให้เห็นความเปลี่ยนแปลงทางสังคมในแต่ละยุคสมัย

หลักฐานประเภทใดที่มีความน่าเชื่อถือน้อยที่สุด

• หลักฐานจารึก
• หลักฐานชั้นต้น
• หลักฐานชั้นรอง
• หลักฐานโบราณคดี

การวิเคราะห์หลักฐานทางประวัติศาสตร์ต้องคำนึงถึงปัจจัยด้านแหล่งที่มา ความน่าเชื่อถือ และบริบททางประวัติศาสตร์

ข้อใดคือลักษณะสำคัญของหลักฐานชั้นต้น

• เป็นหลักฐานที่บันทึกโดยผู้ที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นโดยตรง
• เป็นหลักฐานที่มีความน่าเชื่อถือน้อย
• เป็นหลักฐานที่บันทึกโดยผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นโดยตรง
• เป็นหลักฐานที่ไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือ

หลักฐานทางประวัติศาสตร์ประเภทต่างๆ มีความน่าเชื่อถือเท่ากัน

ข้อใดคือวิธีการในการประเมินหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ถูกต้อง

• ประเมินจากความน่าเชื่อถือของผู้เขียน
• ประเมินจากการวิเคราะห์และตีความหลักฐาน
• ประเมินจากความเห็นส่วนตัวของผู้อ่าน
• ประเมินจากความเชื่อทางศาสนาของผู้เขียน

การอ้างอิงถึงข้อมูลจากแหล่งเดียวถือว่าเพียงพอต่อการประเมินหลักฐานทางประวัติศาสตร์

ปัจจัยใดที่มีผลต่อความน่าเชื่อถือของหลักฐานทางประวัติศาสตร์

• ช่วงเวลาที่หลักฐานนั้นถูกสร้างขึ้น
• รูปแบบของหลักฐาน เช่น จารึก หรือวรรณกรรม
• เจตนาหรือวัตถุประสงค์ในการสร้างหลักฐาน
• ทุกข้อที่กล่าวมา

การวิเคราะห์หลักฐานทางประวัติศาสตร์โดยมีอคติหรือความลำเอียงนั้นถือเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่วิธีการประเมินหลักฐานทางประวัติศาสตร์

• การตรวจสอบแหล่งที่มาของหลักฐาน
• การเปรียบเทียบหลักฐานจากหลายแหล่ง
• การยึดถือความคิดเห็นส่วนตัวเป็นหลัก
• การศึกษาบริบทของหลักฐาน